สวัสดี Sudrak และยินดีต้อนรับสู่ LandEscape ก่อนที่จะเริ่มอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับการผลิตงานศิลปะของคุณและเราอยากเชิญชวนให้ผู้อ่านของเราเยี่ยมชม http://www.sudrakart.com เพื่อรับทราบแนวคิดกว้าง ๆ เกี่ยวกับการผลิตงานศิลปะของคุณและเราจะเริ่มการสัมภาษณ์กับสองสามคำถามเกี่ยวกับภูมิหลังหลายแง่มุมของคุณ มีประสบการณ์ใดบ้างที่ส่งผลต่อวิวัฒนาการของคุณในฐานะครีเอทีฟเป็นพิเศษหรือไม่
ขอกล่าวสวัสดีท่านผู้อ่าน LandEscape ทุกคน ก่อนอื่นฉันต้องขอขอบคุณ LandEscape ที่ได้คัดเลือกผลงานของฉันและได้ให้โอกาสที่ดีเยี่ยมแก่ฉันในการมาสัมภาษณ์ในครั้งนี้เพื่อเสนอมุมมองความคิดในแง่มุมต่างๆ เกี่ยวกับการสร้างสรรค์และผลิตผลงานของฉัน
ฉันเรียนจบมาทางด้านกราฟฟิกดีไซน์ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ฉันได้ผสมผสานความหลากหลายของศาสตร์ต่างๆ ลงไปในผลงานของฉัน ฉันจึงชอบที่จะสร้างสรรค์ออกแบบองค์ประกอบทางทัศนศิลป์ในผลงานของฉันให้มีความแปลกตาเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว คุณจะเห็นได้ในผลงานบางชิ้นของฉัน ฉันได้สร้างรูปร่างของต้นไม้ ก้อนเมฆขึ้นมาในรูปแบบของตัวเอง โดยใช้จินตนาการสื่อความรู้สึกถึงความสุข ความอิ่มเอิบ
ฉันใช้เวลา 6 ปีในการฝึกฝนทักษะทางจิตรกรรม ศึกษาค้นคว้า และทดลองทำงานจิตรกรรมหลายๆ รูปแบบ เพื่อหาสิ่งที่ฉันชอบและมีเอกลักษณ์รูปแบบเฉพาะตัวที่บ่งบอกถึงความเป็นตัวฉัน จนสุดท้ายฉันก็พบว่าฉันชอบที่จะใช้รูปทรงและเรื่องราวในธรรมชาติ มาสื่อถึงเรื่องราวอารมณ์ความรู้สึกของฉัน
เนื้องานที่เราเลือกสำหรับ LandEscape ฉบับพิเศษนี้ได้สร้างความประทับใจให้กับเรากับวิธีที่คุณเชิญชวนให้ผู้ชมสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นจริงทางกายภาพและขอบเขตแห่งจินตนาการ: เมื่อนำผู้อ่านของเราดูงานผ่านกระบวนสร้างผลงานที่คุณสร้างขึ้น คุณจะบอกเราได้อย่างไรว่ารากเหง้าทางวัฒนธรรมไทยของคุณกล่าวถึงทิศทางการผลิตงานศิลปะของคุณอย่างไร
ครอบครัวของฉันมีพื้นเพการใช้ชีวิตในต่างจังหวัดของประเทศไทย ซึ่งประเทศของฉันเป็นสังคมแบบเกษตรกรรมที่พึ่งพิงธรรมชาติเป็นหลัก อันเป็นสิ่งที่บ่มเพาะความรักและความเคารพต่อธรรมชาติในหัวใจของฉัน
ฉันจะรู้สึกสบายใจ สงบ และมีความสุขกับการใช้ชีวิตอยู่ในธรรมชาติ เพราะธรรมชาติบริสุทธิ์ จริงใจ และไม่เคยเสแสร้ง เป็นสิ่งจริงแท้ที่สุด ที่คุณและฉันสามารถสัมผัสได้เสมอ
ผลงานของฉันเป็นการเสนอแง่มุมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการใช้ชีวิตของมนุษย์ที่พึ่งพิงธรรมชาติ หรือแม้แต่ความสวยงามของท้องฟ้าในเช้าวันใหม่ที่ดวงอาทิตย์กำลังจะขึ้นโผล่พ้นเส้นขอบฟ้า ดอกไม้กำลังเบ่งบานเพื่ออวดสีสันสวยงาม ผีเสื้อสะบัดปีกโบยบินไปตามสายลม นกน้อยที่ออกจากรังเพื่อออกหาอาหาร สิ่งเหล่านี้ล้วนมีความหมายและเหตุผลในตัวมันเอง ฉันมักใช้รูปทรงของธรรมชาติมาเป็นสัญลักษณ์สื่อความหมายกับผู้คนเสมอ ตัวอย่างเช่น ภาพวาดของพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าหรือดอกไม้ที่เบ่งบานแสดงถึงความหวังและความเบิกบาน และฉันได้เลือกใช้รูปร่าง สีสัน องค์ประกอบในทัศนศิลป์อย่างรอบคอบ เพื่อนำผู้ชมเข้าใกล้ดินแดนแห่งจินตนาการในความคิดของฉัน เพราะศิลปะคือพื้นที่ที่คุณสามารถมีอิสระทางความคิดอย่างไร้ขีดจำกัด คุณสามารถจิตนาการถึงความเป็นไปได้ในทุกสิ่งเท่าที่คุณต้องการ
….และนี่คือวิถีทางของศิลปะที่มันเป็นและจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป
ผลงานศิลปะของคุณ – และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Say love in the wind และ Sleep in the forest ที่น่าสนใจนั้นมีการผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างความรู้สึกของรูปทรงเรขาคณิตที่ละเอียดอ่อนและโทนสีที่หลากหลายซึ่งทำให้ผลงานของคุณมีเอกลักษณ์ทางสุนทรียภาพที่เป็นเอกลักษณ์ คุณสร้างผลงานของคุณเองโดยสัญชาตญาณ? หรือคุณเปลี่ยนโครงร่างเรขาคณิตอย่างเป็นระบบ
ในงานศิลปะ Say love in the wind และ Sleep in the forest ฉันใช้ทั้งสองร่วมกัน ฉันเริ่มด้วยการสร้างผลงานโดยสัญชาตญาณก่อน ฉันจะสำรวจความคิด ความรู้สึก อารมณ์ของภาพที่ฉันต้องการแสดงออกมาในผลงาน ระหว่างกระบวนการสร้างสรรค์ผลงานฉันจะใช้ความคิดทบทวนอย่างรอบคอบ เพื่อเลือกใช้รูปร่างทางเรขาคณิตและโทนสีที่สื่อถึงความคิดและความรู้สึกของฉันได้มากที่สุดในภาพวาด และแน่นอนว่าเพื่อผลลัพธ์ทางสุนทรียภาพทางทัศนศิลป์ที่ดีที่สุดด้วย
เรามีความชื่นชมอย่างมากและความแตกต่างของงานศิลปะของคุณในเวลาเดียวกันและ “ในวันใหม่” จะเริ่มดึงดูดผู้ชมให้สัมผัสประสบการณ์ภาพที่สนุกสนานเช่นนี้ คุณทำอย่างไรกับการสร้างความแตกต่างเชิงจิตวิทยาด้วยการตัดสินใจใช้โทนสีที่แตกต่างกันที่คุณใช้ร่วมกันในงานศิลปะของคุณและคุณได้พัฒนาพื้นผิวของคุณอย่างไรเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นเอกลักษณ์ดังกล่าว
ฉันเริ่มการใช้สีสันในส่วนของพื้นหลังโดยใช้สัญชาตญาณ สัญชาตญาณของศิลปินเกิดจากการฝึกฝนและการทำงานอย่างหนักและต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน จนเกิดเป็นความเคยชิน คุ้นเคย บ่อยครั้งที่ฉันหยิบสีขึ้นมาใช้ด้วยความคุ้นชินและสัญชาตญาณ ฉันเพียงแต่นึกถึงโทนสีโดยรวมที่จะสื่ออารมณ์และความหมายในเชิงจิตวิทยาของภาพที่จะผลิตเท่านั้น
ผลงานชิ้นแรกๆ ของงานชุดนี้ ฉันจะใช้สีเพียงไม่กี่สีในการทำพื้นหลัง เพื่อดูผลลัพธ์และประเมินความเป็นไปได้ทางสุนทรียภาพ จากนั้นฉันจึงได้เพิ่มจำนวนสีหลากหลายโทนมากขึ้นในผลงานชิ้นถัดๆ มา
สำหรับวิธีการสร้างพื้นหลังฉันใช้วิธีการสาดสีและปล่อยให้สีไหลผสมกันอย่างอิสระ เพราะฉันต้องการสื่อสารถึงธรรมชาติที่แท้จริงของชีวิต บางครั้งเราไม่สามารถควบคุมทุกสิ่งที่เข้ามาในชีวิตได้ สิ่งที่เราทำได้คือยอมรับในสิ่งที่เป็นอยู่ แต่เราสามารถปรับปรุงหรือทำให้สวยงามได้ เพื่อให้เหมาะสมกับชีวิตของเรา เพื่อให้ชีวิตก้าวไปข้างหน้าอย่างดีที่สุดและสวยงามที่สุด จากนั้นฉันวาดรูปเหมือนจริงของธรรมชาติเป็นภาพด้านหน้าบนพื้นที่ที่เว้าแหว่ง แทนความหมายว่าชีวิตของคนเราย่อมไม่เต็มสมบูรณ์แบบ ทุกคนล้วนต้องประสบทั้งความทุกข์และความสุขกันตลอดเวลา แต่ในความเว้าแหว่งหรือความไม่สมบูรณ์แบบนั้น…มันก็มีความงามอยู่ อยู่ที่เราจะมองเห็นมันหรือไม่
ตามที่คุณได้กล่าวไว้ว่าสีสันสดใสที่บ่งบอกถึงผลงานศิลปะของคุณจะทำให้นึกถึงชนบทของไทยและวิถีชีวิตแบบชนบทในสมัยก่อน และได้รับแรงบันดาลใจจากวัยเด็กที่ไร้กังวลของคุณในชนบท: ความทรงจำของคุณมีอิทธิพลต่องานของคุณในฐานะศิลปินอย่างไรและโดยเฉพาะอย่างยิ่งประสบการณ์ในชีวิตประจำวันของคุณกระตุ้นการค้นคว้าทางศิลปะของคุณอย่างไร
ความทรงจำในวัยเด็กของฉันมีอิทธิพลต่อการผลิตผลงานในช่วงแรกเป็นอย่างมาก นั่นเพราะฉันต้องการสร้างผลงานที่ฉันมีอารมณ์ร่วมไปกับมัน เมื่อฉันคิดว่าฉันจะวาดอะไรดี? สิ่งแรกที่ฉันนึกถึงความทรงจำในวัยเด็กที่มีความสุข ฉันต้องขอบคุณครอบครัวของฉันที่ทำให้ฉันมีความทรงจำดีๆ เช่นนั้น ผลงานในช่วงแรกของฉันจึงให้ความรู้สึกที่สุข เปล่งประกายแห่งความสดใสเป็นอย่างมาก
และในเวลาต่อมาฉันจึงได้ใช้ประสบการณ์ในชีวิตประจำวันมากระตุ้นความคิดสร้างสรรค์เพื่อสร้างผลงาน เช่น ในวันที่ฉันอาจจะกำลังประสบกับปัญหาบางอย่าง ฉันรู้สึกเศร้า หดหู่ ฉันก็วาดรูป “รุ่งอรุณ” หรือ “ในวันใหม่” เพื่อบอกกับตัวเองว่า วันนี้อาจจะมีเรื่องแย่ๆ เกิดขึ้นกับเรา แต่เมื่อพรุ่งนี้มาถึงอาจจะมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับเราได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นเราอย่าท้อถอย อย่าอยู่กับความเศร้าเสียใจนั้นนานเกินไป อย่าหมดสิ้นซึ่งความหวัง
เราได้ชื่นชมคุณภาพของภาพเหนือจริงที่ไม่เหมือนใครซึ่งบ่งบอกถึงลักษณะการผลิตทางศิลปะของคุณและในถนนและสระบัวดูเหมือนจะเดินชมวิวผ่านเส้นบาง ๆ ที่แบ่งความจริงและจินตนาการ: คุณพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นจริงและจินตนาการอย่างไร จินตนาการเล่นในผลงานศิลปะของคุณ
งานบางชิ้นฉันเริ่มต้นจากการคิดออกแบบก่อน แล้วจึงผลิตผลงานให้เป็นไปตามที่ฉันคิดไว้ และงานบางชิ้นฉันเริ่มต้นจากการสร้างสีสันพื้นหลังก่อนแล้วจึงใช้จินตนาการต่อว่าอยากให้รูปภาพนี้เป็นแบบไหน สำหรับงาน “The road and lotus pond” จะเป็นอย่างหลัง คือฉันเริ่มจากการทำสีพื้นหลังก่อน ฉันหยิบสีชมพูและอีก 2-3 สีขึ้นมาใช้ พอฉันห็นสีชมพู ฉันก็จินตนาการถึงสีชมพูของดอกบัวที่อยู่ในบึง
เมื่อตอนที่ฉันเป็นเด็ก พอช่วงเย็นของวัน พระอาทิตย์เริ่มคล้อยจะตกดิน แสงแดดไม่แรงกล้าแล้ว ฉันมักจะเดินเล่นหรือขี่จักรยานไปตามถนนที่ทำจากดิน ซึ่งเป็นเส้นทางที่ทอดยาวสุดสายตา สองข้างทางจะเป็นทุ่งนาและบึงบัว ในประเทศไทยเรามีการปลูกบัวเพื่อการพาณิชย์ คนไทยนิยมนำดอกบัวไปไหว้พระพุทธรูป ดอกบัวในทางศาสนาพุทธแทนความบริสุทธิ์ จิตใจที่ผ่องแผ้วสดใสไม่หมองมัว และความศรัทธา ทั้งยังหมายถึงการตรัสรู้บรรลุธรรม ส่วนเม็ดบัว ก้านบัวและรากบัวสามารถนำไปทำอาหารได้
ฉันได้นำเรื่องราวความเป็นจริงในอดีต มาผสมผสานกับจิตนาการที่เกิดจากผืนผ้าใบตรงหน้า ฉันเล่นกับทั้งสองอย่างนี้ตลอดเวลา ผลงานของฉันบางชิ้นจึงอาจจะมีรูปร่างของความเป็นจริงมาใช้เป็นหลัก และบางชิ้นอาจจะมีรูปร่างที่เกิดจากจินตนาการเป็นหลัก ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เข้ามากระทบกับความคิดของฉันในขณะนั้นเป็นสำคัญ
เราชื่นชมวิธีการที่งานศิลปะของคุณสร้างช่องทางการสื่อสารที่ทรงพลังเช่นนี้กับวัฒนธรรมไทยส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและช่วยให้ผู้ชมได้รับพลังบวกจากภาพวาดของคุณเพื่อพัฒนาทัศนคติทางสังคมที่ดีขึ้น: คุณพิจารณาบทบาทของศิลปินอย่างไรใน สังคมที่ไม่มั่นคงและเป็นโลกาภิวัตน์
การสื่อสารที่ทรงพลังของฉันเกิดจากพลังของความรู้สึกจริงแท้ที่ทุกคนสัมผัสได้ ฉันสร้างผลงานที่ฉันมีประสบการณ์และอารมณ์ร่วมไปกับมัน ศิลปินมักจะหยิบเรื่องราวในชีวิตประจำวันที่ตนเองประสบพบเจอมาสร้างผลงาน สำหรับฉัน…ฉันใช้ความทรงจำที่มีความสุขในวัยเด็กมาสร้างสรรค์ผลงาน เมื่อฉันมีความสุข ฉันวาดภาพที่มีความสุข ผู้คนสามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกนี้เมื่อดูผลงานศิลปะของฉัน
ในภาพวาดของฉันมันมีบรรยากาศวิถีชีวิตความเป็นไทยอยู่ในนั้น โดยที่ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจ แต่มันแสดงออกมาเองในภาพวาดโดยสัญชาตญาณ เพราะความเป็นคนไทยมันอยู่ในสายเลือดของฉัน มันคือรากเหง้า…ตัวตนของฉัน
ฉันคิดว่าบทบาทศิลปินมีความสำคัญต่อสังคม ถ้าแพทย์คือผู้ดูแลรักษาทางกายภาพ ศิลปินก็คือผู้รักษาเยียวยาทางจิตใจ ในโลกของสังคมโลกาภิวัฒน์ปัจจุบันที่วิทยาการต่างๆ ก้าวหน้าไปมากมาย แต่ศิลปะยังคงทำหน้าที่ของมันได้อย่างดีเยี่ยมในสังคมตลอดมา ศิลปะยังคงเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างสรรค์ จินตนาการ ถ่ายทอด สื่อความหมายเพื่อสร้างคุณค่าหรือเพิ่มคุณค่าให้กับทุกสิ่ง รวมถึงเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาคุณค่าทางอารยธรรม วัฒนธรรม จิตวิญญาณ ของสังคมมนุษยชาติ
ผลงานศิลปะเป็นผลผลิตของศิลปิน การเสพผลงานศิลปะเป็นการสร้างความสุข ความบันเทิง และทำให้เกิดปัญญาแก่มนุษย์ ศิลปะทำให้มนุษย์ฉุกคิดและปรับเปลี่ยนตัวเองได้ ผู้คนมาดูผลงานศิลปะเพื่อใช้ความคิดจนเกิดผลลัพธ์ทางปัญญาต่อผลงานชิ้นนั้น ซึ่งแต่ละคนก็จะได้ผลลัพธ์ทางความคิดไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับประสบการณ์และจิตนาการของแต่ละคนที่เข้ามาผสมผสานระหว่างกระบวนการทางความคิดขณะนั้น มันเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล
เมื่อเราดูผลงานชิ้นเดียวกันในช่วงเวลาที่ต่างกันมันให้ผลลัพธ์ต่างกันด้วย เราจึงรักในการดูผลงานศิลปะได้อย่างไม่มีวันเบื่อหน่าย เราดูผลงานชิ้นหนึ่งในวันนี้และกลับมาดูมันในอีก 3 ปีข้างหน้า เราก็อาจจะคิดไม่เหมือนเดิมและบางครั้งก็ได้แง่มุมใหม่ๆ ขึ้นได้ อย่างในทุกวันนี้พวกเรายังคงถกเถียงและค้นคว้าเรื่องราวความเป็นมาเกี่ยวกับภาพวาดโมนาลิซ่า วาดโดย ลีโอนาโด ดาวินซี กันอยู่ แม้เวลาจะผ่านมากว่าครึ่งสหัสวรรษแล้ว แต่ภาพนี้ก็ยังมีเรื่องราวใหม่ๆ ให้เราได้แปลกใจและได้เรียนรู้อยู่
คุณมักจะทำงานกับแคนวาส ขนาดใหญ่ที่ให้ประสบการณ์ภาพที่น่าประทับใจแก่ผู้ชม: ขนาดของแคนวาสมีผลต่อขั้นตอนการทำงานของคุณอย่างไร
การกำหนดขนาดของผลงานของฉันขึ้นอยู่กับความเหมาะสม สวยงาม หลักๆ จะมีอยู่ 2 ปัจจัย คือ 1. พลังงานของเรื่องราวในภาพที่ฉันต้องการจะส่งผ่านถึงคนดู ถ้าฉันต้องการให้ภาพนั้นแสดงถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ความกว้างใหญ่ของท้องฟ้า ภูเขา หรือท้องนา ฉันจะกำหนดขนาดของแคนวาสที่มีขนาดใหญ่ แต่ถ้าฉันต้องการให้ผู้ชมได้เห็นความงดงามในสิ่งเล็กๆ ของธรรมชาติรอบตัว เช่น พวกผีเสื้อ ดอกไม้ ฉันจะใช้แคนวาสที่มีขนาดเล็กลงมา เพื่อให้คนดูได้เดินเข้าไปดูใกล้ๆ ได้มองเห็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่อยู่ในภาพ
กับ 2. พื้นที่ที่ผลงานชิ้นนั้นจะไปติดตั้ง ถ้าเป็นงานแสดงในพิพิธภัณฑ์หรือแกลลอรี่พื้นที่ของห้องหรือผนังมีขนาดใหญ่ ฉันเลือกใช้แคนวาสขนาดใหญ่ เพื่อไม่ให้พื้นที่ของห้องหรือผนังบดบังพลังงานของผลงานศิลปะ หรือถ้าผลงานของฉันจะไปเป็นส่วนหนึ่งของบ้านของครอบครัวหนึ่ง ส่วนใหญ่ฉันจะเลือกใช้แคนวาสขนาดกลางหรือเล็ก
งานศิลปะของคุณมักจะมีชื่อที่ดูเหมือนจะให้แนวทางแก่ผู้ชมทำให้คุณสามารถชี้แจงข้อความได้ในขณะที่บางครั้งก็ยังคงรักษาองค์ประกอบของความคลุมเครือเช่น My girl: คุณจะตั้งชื่อผลงานของคุณอย่างไร? โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นสิ่งสำคัญที่คุณจะต้องบอกบางสิ่งที่อาจกระตุ้นผู้ชมผ่านประสบการณ์การมองเห็นของพวกเขา
มันคือเจตนารมณ์ของที่ตั้งชื่อผลงานศิลปะของฉันเพื่อเป็นแนวทางให้แก่ผู้ชม แต่กระนั้นก็ยังคงมีความคลุมเครืออยู่ เพื่อกระตุ้นให้พวกเขาเกิดความคิดและได้จินตนาการต่อไป มันคือความสนุกและเป็นเสน่ห์ที่ชวนติดตามของการมาดูงานศิลปะ เราดูงานศิลปะเพื่อปลดปล่อยความคิดจินตนาการอันไร้ขอบเขตของเราออกมา โดยมีงานศิลปะเป็นจุดเริ่มต้น
ในผลงานของฉันที่มีชื่อว่า My girl ฉันวาดรูปเด็กผู้หญิงกับสุนัขของเธอ เด็กผู้หญิงคนนั้นคือตัวฉันในวัยเด็กที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของฉัน และสุนัขที่ฉันเลี้ยงก็เป็นเพศเมีย My girl จึงเป็นคำเรียกที่ฉันใช้เรียกเด็กผู้หญิงคนนั้นหรืออาจจะเป็นคำที่เด็กผู้หญิงคนนั้นใช้เรียกสุนัขของเธอก็ได้ สำหรับผู้ดูงานศิลปะชิ้นนี้….เด็กผู้หญิงคนนี้อาจจะทำให้เขานึกถึงน้องสาว ลูกสาว หรือเพื่อนผู้หญิงในวัยเด็กของพวกเขาก็แล้วแต่เขาจะนึกคิดหรือจินตนาการ ซึ่งฉันได้เปิดพื้นที่แห่งความคลุมเครือเอาไว้ให้พวกเขาได้ใช้มันสำหรับเรื่องนี้อยู่แล้ว
เรากล้าพูดได้ว่างานศิลปะของคุณดูเหมือนจะมุ่งหวังที่จะมองเข้าไปในสิ่งที่ปรากฏให้เห็นมากกว่าพื้นผิวทำให้ผู้ชมมีอิสระในการรับรู้ของตนเอง Ernst Gombrich นักประวัติศาสตร์ศิลปะชาวออสเตรียเคยกล่าวถึงความสำคัญของการจัดพื้นที่ให้ผู้ชมได้ฉายภาพเพื่อที่พวกเขาจะได้มีส่วนร่วมในการสร้างภาพลวงตา: คุณมีความสำคัญเพียงใดในการกระตุ้นจินตนาการของผู้ชมเพื่อที่จะกล่าวถึงพวกเขา การตีความส่วนบุคคลอย่างละเอียด? โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณต้องการให้ผลงานของคุณเป็นที่เข้าใจอย่างเปิดเผยมากน้อยเพียงใด
ในภาพวาดของฉันจะมีการรับรู้ทางความคิดอยู่ 2 ระดับ ขึ้นอยู่กับผู้ดูแต่ละคน ในระดับแรกคือระดับพื้นผิวคุณเห็นภาพที่มีสีสันสดใส สวยงาม คุณได้รับความสุนทรียะทางการับรู้ด้วยสายตา และในระดับที่ 2 คือระดับที่ลึกลงไป คุณสามารถสร้างภาพลวงตาแห่งการรับรู้ได้ทางความคิด คุณจะพบสัจจะธรรม คุณจะพบความเป็นจริงของชีวิตว่า ทุกสิ่งล้วนเป็นสิ่งที่เราสมุมติขึ้นมาทั้งสิ้น เป็นภาพลวงตาที่เราสร้างขึ้นมาทั้งหมดทั้งสิ้น เราสามารถสมมุติให้ภาพวาดนี้เป็นอย่างโน้นหรือเป็นอย่างนี้ได้ สุดแล้วแต่จิตใจของเราจะนำพาไป ฉันวาดภาพจากภาพลวงตาที่เกิดจากการนึกถึงอดีต ส่วนหนึ่งของอดีตคือตัวตนของฉันในปัจจุบัน และส่วนหนึ่งของปัจจุบันจะเป็นตัวตนของฉันในอนาคต
ถ้าส่วนหนึ่งของฉัน, ภาพวาดของฉัน, สามารถไปกระตุ้นจินตนาการทางความคิดของผู้คนได้ ไม่ว่าจะเป็นความคิดที่เกี่ยวข้องกับอดีตหรือปัจจุบันของพวกเขาได้ ฉันเปิดกว้างสำหรับระดับความเข้าใจของผู้คนต่อผลงานของฉัน ฉันไม่ได้คิดว่าเรื่องสำคัญมากมายอะไรที่พวกเขาจะต้องมาเข้าใจในผลงานของฉันอย่างที่ฉันเข้าใจ เพราะงานศิลปะมันไม่มีคำตอบที่แน่นอนตายตัว ผลลัพธ์ที่ได้ครึ่งหนึ่งมาจากศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงานและอีกครึ่งหนึ่งมาจากผู้ชมงานศิลปะเหล่านั้น ดังนั้นระดับความเข้าใจ ความประทับใจ ความชอบ และความรักต่อผลงานชิ้นหนึ่ง จึงไม่เท่ากันทุกคน
แต่อย่างน้อยที่สุดถ้างานศิลปะของฉันทำให้พวกเขาเกิดความสุข ความพึงพอใจ เกิดปัญญา ฉันก็ถือว่าฉันประสบความสำเร็จในฐานะศิลปินที่สร้างความสุข ความเบิกบานทางจิตวิญญาณให้ผู้คนในสังคม มนุษย์เราคงจะเติมเต็มทางกายภาพด้วยวัตถุอย่างเดียวไม่ได้ เราจะต้องเติมเต็มจิตวิญญาณของเราด้วยสุนทรียภาพด้วย เพื่อที่เราจะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ และมันเป็นบทบาทหน้าที่ของศิลปินที่จะไปทำหน้าที่ตรงส่วนนั้น
คุณเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียง: ผลงานของคุณอยู่ในคอลเลกชันสาธารณะและส่วนตัวทั่วโลกและในช่วงหลายปีที่คุณเข้าร่วมนิทรรศการมากมายทั้งในประเทศไทยและในสหราชอาณาจักรและในสหรัฐอเมริกา: คุณพิจารณาลักษณะอย่างไร ความสัมพันธ์ของคุณกับผู้ชมของคุณ? อย่างไรก็ตามในขณะที่การย้ายงานศิลปะจากพื้นที่แกลเลอรีแบบดั้งเดิมไปสู่ถนนและโดยเฉพาะอย่างยิ่งไปยังแพลตฟอร์มออนไลน์เมื่อ Instagram เพิ่มขึ้นความคิดของคุณจะเปลี่ยนความสัมพันธ์กับผู้ชมที่เป็นโลกาภิวัตน์ได้อย่างไร
ฉันคิดว่าฉันมีความสัมพันธ์กับผู้ชมของฉันในรูปแบบผู้ส่งสารและผู้รับสาร มันเป็นบทสนทนาทางสุทรียภาพ ฉันใช้งานศิลปะเป็นเครื่องมือสื่อสารพูดคุยกับผู้คนในสังคม ศิลปะก็มีวิวัฒนาการเหมือนชีวิตคนเราคือมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จากอดีตสมัยโบราณที่ศิลปะอยู่ตามศาสนสถานเพื่อรับใช้ศาสนา ต่อมาก็รับใช้ชนชั้นสูง ชนชั้นปกครอง และสุดท้ายในยุคของเรา ศิลปะก็ได้กลายมาเป็นสิ่งรับใช้ปัจเจกบุคคล คือการรับใช้ศิลปินผู้สร้างผลงาน โดยมันเริ่มต้นจากศิลปินที่อยากสื่อถึงสิ่งที่มากระทบความคิดและจิตใจ มันเป็นความรู้สึกที่เปี่ยมล้นจนต้องสำแดงมันออกมาเป็นผลงานศิลปะด้วยวิธีการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการวาดภาพ การปั้นดิน การแกะสลัก การแสดง การเขียนออกมาเป็นตัวอักษรหรือตัวโน๊ตทางดนตรี ฯลฯ เพื่อให้ผู้อื่นได้เห็น ได้ยิน ได้สัมผัส ได้รับรู้ถึงข้อความนั้น
สำหรับในโลกยุคโลกาภิวัตน์อย่างในปัจจุบันการย้ายงานศิลปะจากพื้นที่แกลเลอรีแบบดั้งเดิมไปสู่ถนนและโดยเฉพาะอย่างยิ่งไปยังแพลตฟอร์มออนไลน์ ฉันคิดว่ามันไม่ได้เปลี่ยนบทบาทหน้าที่หรือคุณค่าของตัวงานศิลปะ มันแค่ช่วยเพิ่มช่องทางในการสื่อสารระหว่างศิลปินกับผู้ชมงานศิลปะ อีกทั้งยังช่วยทำให้การสนทนามันง่ายขึ้น สะดวกขึ้น กว้างไกลขึ้น จากเมื่อก่อนที่ผู้คนจะต้องเดินทางไปพิพิธภัณฑ์หรือแกลลอรี่เพื่อชมผลงานศิลปะอย่างเดียวเท่านั้น ในปัจจุบันนี้พวกเขาสามารถดูงานศิลปะได้ตามถนน ตรอก ซอกซอยแถวบ้านที่พวกเขาเดินทางสัญจรไปมา หรือแม้แต่การจะดูงานศิลปะในบ้านของพวกเขาเอง พวกเขาก็สามารถทำได้ พวกเขาไม่จำเป็นต้องเดินทางออกไปที่ไหน แค่พวกเขามีอินเตอร์เน็ตใช้ก็เพียงพอแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นการได้ไปดูผลงานในสถานที่ที่มีการจัดพื้นที่แสดงงาน เพื่อสร้างบรรยากาศแห่งการเสพผลงานศิลปะ ก็ยังเป็นวิธีการที่ทำให้เราได้รับอรรถรสสูงสุดในการดูผลงานอยู่ดี
สำหรับตัวฉัน ฉันยังคงเน้นการจัดแสดงงานนิทรรศการศิลปะตามพิพิธภัณฑ์และแกลลอรี่ทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็นหลักสำคัญอยู่ และฉันได้เพิ่มช่องทางแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อเผยแพร่ผลงงานและข่าวสารกิจกรรมทางศิลปะของฉันทั้ง
Instagram; https://www.instagram.com/sudrak_artist
Facebook; https://web.facebook.com/sudrak2u
Website; https://www.sudrakart.com
เพื่อให้ผู้คนเข้าถึงเรื่องราวและผลงานของฉันได้ง่ายขึ้นอย่างเหมาะสมกับโลกในยุคปัจจุบัน ยิ่งในช่วงเวลานี้ที่ผู้คนทั่วโลกกำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัส 19 การใช้แพลตฟอร์มออนไลน์จึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับศิลปินเพื่อสื่อสารกิจกรรมทางศิลปะกับผู้คน
เราได้ชื่นชมธรรมชาติของการค้นคว้าทางศิลปะของคุณหลายแง่มุมและก่อนที่จะออกจากการสนทนาที่น่าตื่นเต้นนี้เราขอขอบคุณสำหรับการสนทนากับเราและสำหรับการแบ่งปันความคิดของคุณ Sudrak คุณกำลังทำโปรเจ็กต์อะไรอยู่และมีแนวคิดอะไรบ้างที่คุณหวังว่าจะได้สำรวจในอนาคต
สำหรับในช่วงนี้ฉันกำลังสนใจสำรวจเกี่ยวกับเรื่องราวของการอยู่ร่วมกันระหว่างลัทธิธรรมชาตินิยมและบริโภคนิยมในศตวรรษที่ 21 ที่ผ่านมาผลงานของฉันอยู่ในแนวลัทธิธรรมชาตินิยม ฉันกำลังขบคิดเกี่ยวกับการนำเอาศิลปะแบบ Pop art ซึ่งเป็นตัวแทนของสังคมแบบบริโภคนิยม มาอยู่เป็นส่วนหนึ่งในผลงานของฉัน ฉันคิดว่าในปัจจุบันนี้ผู้ที่รักธรรมชาติก็ไม่อาจปฏิเสธการมีอยู่ของวิถีชีวิตแบบบริโภคนิยมได้ ขณะเดียวกันผู้ที่อยู่ในโลกแบบบริโภคนิยมก็ยังโหยหาที่จะพาตัวเองไปอยู่ในธรรมชาติ ฉันจึงสนใจที่จะสำรวจความเป็นไปได้ในทุกๆ ทางเพื่อหาจุดพอดี สมดุล และความงามในการมีอยู่ของโลกทั้งสองใบนี้
ส่วนการแสดงนิทรรศการผลงานของฉัน ฉันมีโปรเจ็กต์หลายอย่างที่ต้องชะลอออกไปเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัส โดยเฉพาะการจัดแสดงนิทรรศการในต่างประเทศที่จำเป็นจะต้องเลื่อนออกไปจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น ถ้าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ดีขึ้นเมื่อไหร่ฉันคงจะได้สานต่อโปรเจ็กต์ที่เคยทำค้างไว้ตั้งแต่ต้นปี 2020 สำหรับในช่วงปลายปีนี้ฉันจะมีนิทรรศการของกลุ่มศิลปินผู้หญิงและจะมีนิทรรศการเดี่ยวของตัวเองในปีหน้าที่แกลลอรี่เอกชนในกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย
ในท้ายนี้ ฉันขอบคุณทาง LandEscape อีกครั้งที่ได้เปิดโอกาสให้ฉันได้มาแบ่งปันความคิด มุมมองต่างๆ เกี่ยวกับผลงานศิลปะและการสร้างผลงานศิลปะของฉันในครั้งนี้